กรุณาเลือกภาษา

Thai Chinese (Simplified) English French German Italian Japanese Korean

ภูมิปัญญาชาวบ้านในชุมชน (เทศบาลตำบลบางเก่า)

   ภูมิปัญญาชาวบ้านในชุมชน

        ภูมิปัญญาชาวบ้าน  หมายถึง  ความรู้ของชาวบ้านซึ่งเรียนรู้มาจากปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพี่น้อง และความเฉลียวฉลาดของแต่ละคน หรือผู้มีความรู้ในหมู่บ้านในท้องถิ่นต่างๆภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นเรื่องการทำมาหากิน เช่น การจับปลา การจับสัตว์ การปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์ การทอผ้า การทำเครื่องวมือการเกษตร

         ภูมิปัญญาเหล่านี้เป็นความรู้ความสามารถที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์และถ่ายทอดมาให้เรามีวืธีการหลายอย่างที่ทำให้ความรู้เหล่านี้เกิดประโยชน์แก่สังคมปัจจุบัน คือ

        การอนุรักษ์ คือ การบำรุงรักษาสิ่งที่ดีไว้ เช่น ประเพณีต่างๆ หัตถกรรม และคุณค่าหรือการปฏิบัติตนเพื่อความสัมพันธ์อันดีกับคนและสิ่งแวดล้อม

        การฟื้นฟู  คือ การรื้อฟื้นสิ่งที่ดีงามที่หายไป เลิกไป หรือกำลังจะเลิกให้กลับมาเป็นประโยชน์ เช่น การรื้อฟื้นดนตรีไทย

        การประยุกต์  คือ การปรับหรือผสมผสานคสามรู้เก่ากับความรู้ใหม่เข้าด้วยกันให้เหมาะสมกับสมัยใหม่ เช่น การใช้ยาสมุนไพรในโรงพยาบาลประสานกับการรักษาใหม่ การทำพิธีบวชต้นไม้ เพื่อให้เกิดสำนึกการอนุรักษ์ธรรมชาติรักษาป่ามากยิ่งขึ้น

        การสร้างใหม่  คือ  การคิดค้นใหม่ที่วัมพันธ์กับความรู้ดั้งเดิม เช่น การประดิษฐ์โปงลาง การคิดโครงการพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาชุมชน โดยอาศัยคุณค่าความเอื้ออาทรที่ชาวบ้านเคยมีต่อกันมาหารูปแบบใหม่ เช่น การสร้างธนาคารข้าว ธนาคารโคกระบือ การรวมกลุ่มแม่บ้าน เยาวชน เพื่อทำกิจกรรมกันอย่างมีระบบยิ่งขึ้น

 

     ปราชญ์การทำกาละแมมอญ 

 

        

 

 

ประวัติ

     นายบัณฑิต ญาตินุกุล อายุ ๕๙ ปี

การศึกษา ระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ ๔ โรงเรียนหนองตาพต

อาชีพ ทำนา

บ้านเลขที่ ๑๔ หมู่ ๘ ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ๗๖๑๒๐

       ชุมชนบ้านม่วงเป็นชุมชนชาวไทยเชื้อสายมอญและชุมชนบ้านม่วงก็มีขนมกาละเมซึ่งจะทำในงานบุญ เช่น งานบวช เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งการืำขนมกาละเเมในเทศกาลสงกรานต์นั้นก็เพื่ออนุรักษ์สืบทอดการทำขนมกาละแมเพือให้อยู่คู่กับชุมชนบ้านม่วงจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน

 

ส่วนผสมของกาละแมมอญ

       ๑.แป้งข้าวเหนียว

       ๒.น้ำตาลโตนด

       ๓.น้ำกะทิ

อุปกรณ์

       ๑.กระทะใบบัว

       ๒.พายเหล็ก

       ๓.เตาดินขุด

       ๔.ถาด

       ๕.ใบตอง

       ๖.ฟืน (ใช้ไม้แห้งทำเชื้อเพลิง เช่น ไม้ไผ่ เพราะให้ไฟแรงดี)

วิธีทำ

       ๑.ล้าง(ซาว)ข้าวเหนียวให้สะอาด แล้วนำข้าวเหนียวแช่กับน้ำเปล่าเป็นเวลา ๑ คืน

       ๒.นำข้าวเหนียวที่แช่แล้วใส่เครื่อง โม่หินเพื่อโม่ข้าวเหนียวให้ละเอียดเป็นแป้ง

       ๓.ตั้งกะทะใบบัวบนเตาเทหัวกะทิ เค่ยวน้ำกะทิจนจนกะทิแตกมันแล้วเทน้ำเปล่าลงในกระทะเพื่อให้น้ำมันกะทิลอยขึ้นมาแล้วตักน้ำมัน                 กะทิออกส่วนหนึ่ง ไว้ใช้ทาใบตองเพื่อไม่ให้ขนมกาละแมติดภาชนะ

       ๔.เทน้ำตาลโตนดและแป้งข้าวเหนียวลงไปในกระทะในระหว่างนี้ใช้พายคนให้เข้ากันจนส่วนผสมทั้งหมดเดือด

       ๕.การกวนต้องกวนตลอดเวลาจนส่วนผสมงวดลง สังเกตุได้จากสีของกาละแมที่เริ่มเปลี่ยน จากสีขาวจนค้ำและเป็นสีดำ ใช้เวลากวน                 ประมาณ ๓-๔ ชั่วโมงแลฃะต้องกวนให้ถึงถ้นกระทะเพื่อไม่ให้กาละแมไหม้

       ๖.กาละแมที่งวดจะได้ที่แล้วหรือยังนั้นมีวิธีตรวจสอบแบบต้นตำหรับคือใส่ใบตองสดลงในกระทะ สังเกตุดูว่าหาดกาละแมติดใบตองหรือ            ไม่ หากไม่ติดกันเป็นอันใช้ได้

       ๗.ตักนำกาละแมใส่ในถาดที่ปูด้วยใบตอง ที่ทาด้วยน้ำกะทิเพื่อป้องกันไม่ให้เหนียวติดกระทะ

 

 

         ปราชญ์การทำน้ำโตนด

 

 

ประวัติ 

         นางสมรักษ์ เขียวงาม อายุ ๖๐ ปี

         นายบุญเยี่ยม เขียวงาม อายุ ๕๙ ปี

บ้านเลขที ๒ หมู่ ๘ ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ๗๖๑๒๐

การศึกษา ระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านนิคม

มีบุตร ๑ คน เป็นหญิง

         การทำน้ำตาลโตนด

        ๑.การทำน้ำตาลโตนดทำสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ น้ำตาลโตนดสามารถทำได้ทั้งปี

        ๒.การเก็บน้ำตาลโตนด จะเก็บได้ ๒ ช่วง เก็บตอนเช้า เรียกว่าน้ำตาลเช้า เก็บตอนเย็นเรียกว่าน้ำตาลเที่ยงโดยน้ำเช้าจะเก็บจากกระบอกที่นำไปใส่ไว้ตอนเย็นของเมื่อวาน ส่วนน้ำตาลเย็นจะเก็บจากกระบอกที่ใสไว้ตอนตอนเช้าของวัน ต้นตาล ๑ ต้น จะสามารถเก็บน้ำตาลโตนดได้ประมาณ ๓-๕ กระบอก หรือสูงสุดประมาณ ๒ ลิตร บางวันอาจจจะไมมีเลยก็มี

        ๓.ความเชื่อของคนที่ไปขึึ้นเอาน้ำตาลโตนด เชื่อว่า ถ้าใส่ชุดไหนเก็บน้ำตาลโตนด ต้องใส่ชุดนั้นทุกครั้งที่ไปเก็บน้ำตาลโตนด ถ้าหากไม่ใส่ชุดนั้นไปขึ้นน้ำตาลโตนดจะทำให้ไม่ได้น้ำตาลโตนดหรือต้นตาลจะไม่ผลิตน้ำตาลลงในกระบอก นี่จึงเป็นความเชื่อของทุกคนที่นี่ ที่ต้องขึ้นต้นตาลโตนดไปเก็บน้ำตาล

 

         

 

 

 

 การผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำ โดยใช้สารเร่งซุปเปอร์ พด.๒

       ๑.ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ หมายถึง ปุ๋ยอินทรีย์ในรูปชองเหลว ซึ่งได้จากการย่อยสลายของวัสดุเหลือใช้จากพืชหรือสัตว์ ลักษณะสด อวบน้ำ หรือ มีความชื้นสูงโดยอาศัยกิจกรรมของจุลินทรีย์ ทั้งในสภาพที่ไม่มีอากาศและมีอากาศ ได้ของเหลวงสีน้ำตาล ประกอบด้วยฮอร์โมนหรือสารเสริมการเจริญเติบโตของพืช เช่น กรดแลคติก กรดอะซิติก กรดอะมิโน และกรดฮิวมิก

       ๒.สารเร่งซุปเปอร์ พด.๒ เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติในการย่อยสลายวัสดุการเกษตรในลักษณะสด อวบน้ำ หรือมีความชื้นสูง เพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำ โดยดำเนินกิจกรรมทั้งในสภาพที่ไม่มีอากาศและมีอากาศ ประกอบด้วยจุลินทรีย์ ๕ สายพันธุ์

       ๓.ส่วนผสมสำหรับปุ๋ยอินทรีย์น้ำ

ปุ๋ยอินทรีย์น้ำจากผักและผลไม้ จำนวน ๕๐ ลิตร (ใช้เวลาหมัก ๗ วัน)

        - ผักหรือผลไม้             ๔๐ กิโลกรัม

        - กากน้ำตาล                ๑๐ กิโลกรัม

        - น้ำ                            ๑๐ ลิตร

        - สารเร่งซุปเปอร์ พด.๒   ๑ ซอง ( ๒๕ กรัม )

ปุ๋ยอินทรีย์น้ำจากปลาหรือหอยเชอร์รี่ จำนวน ๕๐ ลิตร ( ใช้เวลาหมัก ๑๕-๒๐ วัน )

        - ปลาหรือหอยเชอร์รี่     ๓๐ กิโลกรัม

        - ผลไม้                        ๑๐ กิโลกรัม

        - น้ำ                             ๑๐ ลิตร

        - สารเร่งซุปเปอร์ พด.๒     ๑ ซอง (๒๕ กรัม)

       ๔.วิธีการทำปุ๋ยอินทรีย์น้ำ โดยใช้สารเร่งซุปเปอร์ พด.๒

        - หั่นหรือสับ วัสดุ (พืชหรือสัตว์) ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ผสมกับกากน้ำตาลในถังหมักขนาด ๕๐ ลิตร

        - นำสารเร่งซุปเปอร์ พด.๒ จำนวน ๑ ซอง รวมกับน้ำ ๑๐ ลิตร  คนให้เข้ากัน ๕ นาที

        - เทสารละลายซุปเปอร์ พด.๒ ในถังหมัก คนส่วนผสมให้เข้ากัน ปิดผาไม่ต้องสนิทและตั้งทิ้งไว้ในที่ร่ม

        - ในระกว่างการหมัก คนหรือกวน ๑-๒ ครั้ง/วัน เพื่อระบายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และทำให้ส่วนผสมคลุกเคล้าได้ดียิ่งขึ้น

        - ในระหว่างการหมักจะเห็นฝ้าขาว ซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์ ที่ผิวหน้าของวัสดุหมัก ฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และกลิ่นแอลกอฮอล์

        ๕.การผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำโดยวิธีต่อเชื้อ

         - การผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำโดยวิธีการต่อเชื้อ เป็นการผลิตปุ๋ยหมักอินทรีย์น้ำโดยไม่ใช้สารเร่งซุปเปอร์ พด.๒ ทำได้โดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่ทีอายุการหมัก ๕ วัน ซึ่งจะสังเกตุเห็นฝ้าสีขาวที่ผิวหน้าวัสดุหมัก โดยใช้จำนวน ๒ ลิตร แทนการใช้สารเร่งซุปเปอร์ พด.๒ จำนวน ๑ ซอง จะสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำได้จำนวน ๕๐ ลิตร

        ๖.การพิจารณาปุ๋ยอินทรีย์ที่หมักสมบูรณ์แล้ว

        - การเจริญของจุลินทรีย์น้อยลง โดยคราบเชื้อที่พบในช่วงแรกจะลดลง

        - ไม่พบฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

        - กลิ่นแอลกอฮอล์ลดลง

        - ความเป็นกรดด่าง (PH) อยู่ระหว่าง ๓-๔ 

        ๗.อัตราและวิธีการใช้

         - เจือจางปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ต่อน้ำ อัตราส่วน ๑ ๕๐๐ - ๑ ๑,๐๐๐

         - ฉีดพ่นหรือรดลงดิน ในช่วงระยะการเติบโตของพืช

         ๘.จุดเด่นของสารซุปเปอร์ พด.๒

         -  สามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำ จากวัตถุดิบได้หลากหลาย เช่น ผัก ผลไม้ ปลา หอยเชอร์รี่ เปลือกไข่ เศษก้างและกระดูกสัตว์

         - จุลินทรีย์ที่เจริญเติบโตได้ในสภาพเป็นกรด

         - จุลินทรีย์ส่วนใหญ่สร้างสปอร์ ทำให้ทนต่อสภาพแวดล้อมและการเก็บรักษาได้นาน

         - สามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ในเวลาสั้นและได้คุณภาพ

         - ช่วยให้พืชแข็งแรง ต้านทานต่อการเข้าทำลายของโรคและแมลง

         ๙.ประโยช์ของปุ๋ยอินทรีย์น้ำ

         - ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช โดยพบว่าปุ๋ยอินทรีย์น้ำ มีฮอร์โมน และกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น ออกซิเจน จิบเพอลิน ไซโตไซนิน กรดแลคติก กรดอะซิติก กรดอะมิโน และกรดฮิวมิก

         - กระตุ้นการงอกของเมล็ด

         - เพิ่มการย่อยสลายของตอหรือซังพืช

 

ข้อเสนอแนะ

         การใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น จะต้องปรับปรุงบำรุงดิน ด้วยปุ๋ยอินทรีย์

 

การผลิตปุ๋ยหมักโดยใช้สารเร่งซุปเปอร์ พด.๑

         ปุ๋ยหมัก  เป็นปู๋ยอินทรีย์ชนิดหนึ่งเกิดจากการนำซากหรือเศษเหลือจากพืชผักมาหมักรวมกันและผ่านกระบวนการย่อยสลายโดยกิจกรรมจุลินทรีย์ จนเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม เป็นวัสดุที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม เปื่อยยุ่ย ไม่แข็งกรระด้าง และมีสีน้ำตาลปนดำ

        สารเร่งซุปเปอร์ พด.๑  เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการย่อยสลายวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูป ผลผลิตทางการเกษตรเพื่อผลิตปุ๋ยหมักในเวลารวดเร็วและมีคุณภาพสูงขึ้น ประกอบด้วยเชื้อรา และแอคติโนมัยซีสที่ย่อยสารประกอบเซลลูโลสและแบคทีเรียที่ย่อยไขมัน

                        ส่วนผสมของปุ๋ยหมัก

                        ในการทำปุ๋ยหมัก ๑ ตัน

                  เศษพืชแห้ง            ๑,๐๐๐ กิโลกรัม

                   มูลสัตว์                     ๒๐๐ กิโลกรัม 

                   ปุ๋ยไนโตรเจน                 ๒ กิโลกรัม

                   สารเร่งซุปเปอร์ พด.๑      ๑ ซอง

          วิธีการทำปุ๋ยหมัก  

          การกองปุ๋ยหมัก ๑ ตัน มีขน่ดความกว้าง ๒ เมตร ยาว ๓ เมตร สูง ๑.๕ เมตร การกองมี ๒ วิธี ขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุ วัสดุที่มีขนาดเล็กให้คลุกเคล้าวัสดุให้เข้ากันแล้วจึงกองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนวัสดุที่มีชื้นส่วนยาวให้กองเป็นชั้น ๆ ประมาณ ๓-๔ ชั้น โดยแบ่งส่วนผสมที่จะกองออกเป็น ๓-๔ ส่วน ตามจำนวนชั้นที่จะกอง มีวืธีการกองดังนี้

           ๑.ผสมสารเร่งซุปเปอร์ พด.๑ ในน้ำ ๒๐ ลิตร นาน ๑๐-๑๕ นาที เพื่อกระตุ้นให้จุลินทรีย์อกจากสภาพที่เป็นสปอร์และพร้อมจะเกิดกิจกรรมการย่อยสลาย

           ๒.การกองชั้นแรกให้นำวัสดุที่แบ่งไว้ส่วนที่หนึงมากองเป็นชั้นมีขนาดกว้าง ๒ เมตร ยาว ๓ เมตร สูง ๓๐-๔๐ เซนติเมตร ย่ำให้พอแน่นและรดน้ำให่ชุ่ม

            ๓.นำมูลสัตว์โรยที่ผิวหน้าเศษพืชตามด้วยปุ๋ยไนโตรเจน แล้วราดสารละลายสารเร่งซุปเปอร์ พด.๑ ให้ทั่วโดยแบ่งเป็นชั้น ๆ 

            ๔.หลังจากนั้นนำเศษพืชมากองทับเพื่อทำชั้นต่อไป ปฏิบัติเหมือนการกองชั้นแรก ทำเช่นนี้อีก ๒-๓ ชั้น ชั้นบนสุดของกองปุ๋ยควรปิดทับด้วยด้วยเศษพืชที่เหลืออยู่เพื่อป้องกันการสูญเสียความชื้น  

การดูแลรักษากองปุ๋ยหมัก

     - รดน้ำรักษาความชื้นในกองปุ๋ย : ให้มีความชื้นประมาณ ๕๐-๖๐%

     - การกลับกองปุ๋ยหมัก : กลับกอง ๑๐ วันต่อครั้ง เพื่อเพิ่มออกซิเจน ลดความร้อนในกองปุ๋ยและช่วยให้วัสดุคลุกเคล้ากัน หรือใช้ไม้ไผ่เจาะรูให้ทะลุตลอดทั้งลำและเจาะรูด้านข้างปักรอบๆกองปุ๋ยหมัก ห่างกันลำละ ๕๐-๗๐ เซนติเมตร

     - การเก็บรักษากองปุ๋ยหมักที่เสร็จแล้ว : เก็บไว้ในโรงเรือน อย่าตากแดดและฝนพรำจะทำให้ธาตุอาหารพืชในปุ๋ยหมักสูญเสียไปได้

หลักการพิจารณาปุ๋ยหมักที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว

        ๑.  สี : มีสีน้ำตาลเข้มจนถึงสีดำ

        ๒.ลักษณะ : อ่อนนุ่ม ยุ่ย ไม่แข็งกระด้างและขาดออกจากกันได้ง่าย

        ๓.กลิ่น : ปุ๋ยหมักที่เสร็จสมบูรณ์จะไม่มีกลิ่นเหม็น

        ๔.ความร้อนในกองปุ๋ย : อุณหภูมิในกองปุ๋ยใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายนอกกอง

        ๕.การเจริญของพืชบนกองปุ๋ยหมัก : พืชสามารถขึ้นบนกองปุ๋ยหมักได้โดยไม่เป็นอันตราย

        ๖.การวิเคราะห์ทางเคมี : ค่าอัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจนเท่ากับหรือต่ำกว่า ๒๐: ๑

อัตราและวิธีการใช้ปุ๋ยหมัก

  •  ข้าว : ใช้ ๒ ตันต่อไร่ หว่านให้ทั่วพื้นที่แล้วไถกลบก่อนปลูกพืช
  • พืชไร่ : ใช้ ๒ ตันต่อไร่ โรยเป็นแนวตามแนวร่องปลูกพืช แล้วคลุกเคล้ากับดิน
  • พืชผัก : ใช้ ๔ ตันต่อไร่ หว่านทั่วแปลงปลูกไถกลบขณะเตรียมดิน
  • ไม้ผล ไม้ยืนต้น

       เตรียมหลุมปลูก : ใช้ ๒๐ กิโลกรัมต่อหลุม คลุกเคล้ากับปุ๋ยหมักกับดินใส่รองก้นหลุม

       ต้นพืชที่เสร็จแล้ว : ใช้ ๒๐-๕๐ กิโลกรัมต่อต้น ขึ้นอยู่กับอายุของพืช โดยขุดร่องตามแนวทรงพุ่ม ใส่ปุ๋ยหมักในร่องและกลบด้วยดินหรือหว่านให้ทั่วภายใต้ทรงพุ่ม

  •  ไม้ตัดดอกใส่ปุ๋ยหมัก ๒ ตันต่อไร่ ไม้ดอกยืนต้นใช้ ๕-๑๐ กิโลกรัมต่อหลุม
  • ใส่ปุ๋ยหมักช่วงเตรียมดิน และไถกลบขณะที่ดินมีความชื้นเพียงพอ จะทำให้ธาตุอาหารเป็นประโยชน์ต่อพืชสูงสุด

จุดเด่นของสารเร่งซุปเปอร์ พด.๑

  •  มีประสิทธิภาพในการย่อยสารเซลลูโลส
  • สามารถย่อยสารน้ำมัน/ไขมันในวัสดุหมักที่สลายตัวยาก
  • ผลิตปุ๋ยหมักในระยะเวลารวดเร็ว และมีคุณภาพ
  • เป็นจุลินทรีย์ที่ทนอุณหภูมิสูง
  • เป็นจุลินทรีย์ที่สามารถสร้างสปอร์จึงเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ได้นาน
  • สามารถย่อยวัสดุเหลือใช้ได้หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น

ประโยชน์ของปุ๋ยหมัก

  •  ปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดิน ทำให้ดินร่วนซุย การระเหยอากาส และการอุ้มน้ำของดินดีขึ้น รากพืชแพร่กระจายได้ดี
  • เป็นแหล่งธาตุอาหารพืชทั้ง ธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุ
  • ดูดยึดและเป็นแหล่งดูดธาตุอาหารในดินไม่ให้ถูกชะล้าง สูญเสียไปได้ง่ายและปลดปล่อยออกมาให้พืชใช้ประโยชน์ทีละน้อยตลอดฤดูกาล
  • เพิ่มความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดด่างของดิน
  • เพิ่มแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ดินทำให้ปริมาณและกิจกรรมจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในแหล่งจุลินทรีย์เพิ่มขึ้น

 

ปราชญ์เพลงพื้นบ้าน

      นายเสงี่ยม ญาตินุกุล อายุ ๗๔ ปี

      การศึกษา ชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ ๔ โรงเรียนหนองตาพต

      บ้านเลขที่ ๕๕ หมู่ ๘ ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ๗๖๑๒๐

      อาชีพ ทำนาและช่างไม้

      มีบุตร ๓ คน ลูกชาย ๑ คน ลูกสาว ๑ คน

 

 

      นายเชือน เผือกเงิน อายุ ๗๔ ปี

      การศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านหนองตาพต

      บ้านเลขที่ ๕๐ หมู่ ๘ ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ๗๖๑๒๐

      อาชีพ ทำนา ช่างก่อสร้าง รับจ้างทั่วไป และนอกจากนี้ลุงเชือนยังมีความรู้ความสามารถด้านการทำด้ามมีดและปลอกมีด

 

                  

             มีดเงินและปลอกใส่มีด

     

 

เพลงพื้นบ้าน ชุมชนบ้านม่วงเป็นชาวไทยเชื้อสายมอญซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษและยังมีการสืบทอดการละเล่นพื้นบ้านที่จะเล่นกันในช่วงว่างเว้นจากฤดูกาลทำนา หรือช่วงเทศกาลวันสำคัญทางศาสนา หรือประเพณีวันตรุษสงกรานต์ ซึ่งการเล่นเพลงโนเน เริ่มเลือนหายไปจากสังคมตามกาลเวลา ปัจจุบันยังมีพ่อเพลง แม่เพลง ในชุมชนบ้านม่วงที่ยังคงสืบทอดกันอยู่ และมีการสอนเพื่อสืบทอดและอนุรักษ์ไว้ โดยเยาวชนของโรงเรียนโตนดหลวงวิทยา

 

 วิธีการละเล่นเพลงโนเน อดีตจะเป็นการเล่นโดยที่ทุกคนจะจับมือต่อๆกันกันไปไม่จำกัดจำนวนผู้เล่นและร้องเพลงเต้นรำกันไป คนที่อยู่ท้ายสุดจะพากันรอดแขนของคู่แรก และจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่ยุคปัจจุบันจะเป็นเพียงการร้อง รำ และปรบมือเป็นจังหวะ การเล่นเพลงโนเนของชาวบ้านม่วงจะเล่นกันเป็นเวลา ๔ วัน ๔ คืน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์

 

          เนื้อเพลงโนเน

                    ชาช่า เชื้อเชิญเอย

          ขอเชิญพ่อหงส์เหมเอยมาลา

          เชิญพ่อ ย่างพาที

          เถิดพ่อศรีมาลา

          *โนเน โนช่า ชะ โนเนเอย (ซ้ำ ๒ ครัง)

                    เพลงโนเนที่เราร้องขาน

          มันมีมานานเป็นร้อยๆปี

          เป็นเพลงที่เก่านานนัก

          ช่วยอนุรักษ์ไว้ให้ดี

          *โนเน โนช่า ชะ โนเนเอย (ซ้ำ ๒ ครั้ง )

                   รักน้องมานานนัก

          ตั้งแต่หอยจับหลัก อยู่ที่กลางทะเล

          พี่รักน้องหนู ตั้งแต่อยู่ในเปล

          *โนเน โนช่า ชะโนเนเอย (ซ้ำ ๒ ครั้ง )

                   อนิจจาแม่ยาจิต

          น้ำแห้งเรือติดพี่ไปไม่ได้

          ขอไม้ขีดให้พี่ซักกล่อง

          แล้วพี่จะส่องทางไป

          *โนเน โนช่า ชะโนเนเอย (ซ้ำ ๒ ครั้ง)

                   เดือน ๔ พี่มาว่า

          มาถึงเดือน ๕ มาขอน้องไว

          เค้าว่าสินสอดน้องมันแพง (ซ้ำ)

          แล้วพี่จะมีเงินแต่งน้องเมื่อไหร่

          *โนเน โนช่า ชะโนเนเอย (ซ้ำ ๒ ครั้ง)

                    หาหมอดูเอย

          หมอว่าคู่ฉันอยู่ทางนี้

          หมอว่าไม่ดำไม่ขอ

          หรือเป็นน้องสาวคนนี้

          *โนเน โนช่า ชะโนเนเอย (ซ้ำ ๒ ครั้ง)

         

                   เนื้อเพลงนั้นไม่ตายตัวจะร้องแก้เพลงกันแล้วแต่ว่าพ่อเพลง แม่เพลง จะร้องแก้หรือเกี้ยวกันอย่างไร แต่พอเนื้อเพลงจบแต่ละท่อนลูกคู่จะร้องรับด้วยคำว่า “โนเน โนช่า ชะโนเนเอย”ทุกครังที่ร้องจบท่อน

 

                   เนื้อเพลงพวงมาลัย

                   เอ้อละเหยลอยมา          แต่บ้านดอน

          นี่ไม่ใช่สาวแท้                        แต่บ้านแม่ลูกอ่อน

          นุ่งผ้านุ่งผ่อน                        ผิดแต่ก่อนนี้เอย

 

      

 

                   นางเอื้อน ลูกอิน อายุ ๖๓ ปี

                   อาชีพ รับซื้อของเก่า ปลูกผัก

                   การศึกษาจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนเทศบาลหนองตาพต

                   มีบุตร ๒ คน

 

                  

                  

 

                   นายเชือน เผือกเงิน อายุ ๗๔ ปี

                   การศึกษาจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนเทศบาลหนองตาพต

                   บ้านเลขที่ ๕๐ หมู่ ๘ ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ๗๖๑๒๐

อาชีพ ทำนา ช่างก่อสร้าง รับจ้างทั่วไป และนอกจากนี้ลุงเชือนยังมีความรู้ ความสามารถด้านการทำด้ามมีดและปลอกมีด

         

      

 

 

 




 

เทศบาลตำบลบางเก่า
ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี 76120
โทรศัพท์ : 0-3250-3056 โทรสาร : 0-3250-3055

E-mail : Bangkao.go.th@hotmail.com

สำนักปลัดเทศบาล : 0-3250-3056 ต่อ 11
กองคลัง :
0-3250-3056 ต่อ 15
 
กองช่าง : 0-3250-3056 ต่อ 21
กองสาธารณสุขฯ : 0-3250-3056 ต่อ 31
 







 

นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล


ลิขสิทธิ์ © 2553 - 2566 เทศบาลตำบลบางเก่า สงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งหมด.